วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เที่ยวลำปาง


  ลำปาง เดิมชื่อ เขลางค์นคร เป็นเมืองหลวงคู่แฝดกับอาณาจักรหริภุญไชย ซึ่งเจ้าเมืองทั้งสองเป็นโอรสแฝดของพระนางจามเทวี นับเป็นอีกจังหวัดในภาคเหนือที่เป็นแหล่งอารยธรรมล้านนาไทยที่น่าสนใจ ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มีวัดวาอารามและสถาปัตยกรรมท้องถิ่น มีรถม้าที่ไม่เหมือนใคร มีอาหารการกินแสนอร่อย มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำให้ลำปางกลายเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นของตนเอง เช่น ถ้วยชามตราไก่ ที่เห็นกันจนคุ้นชิน



 สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว
         สะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว ตั้งอยู่ที่ถนนรัษฎา อำเภอเมือง เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้ที่ตั้งชื่อจากพิธีเฉลิมฉลองรัษฎาภิเษกสมัยรัชกาลที่ 5 สะพานรัษฎาเป็นสะพานร่วมสมัยกับยุคอารยธรรมรถไฟมีอายุผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้ว และรอดพ้นจากการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมาได้ด้วยการทาสีพรางตา และด้วยการอ้างว่าสะพานแห่งนี้ไม่มีประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของนางลูซี สคาร์ลิง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวิชานารี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกองทัพสัมพันธมิตรในขณะนั้น

         แต่เดิมสะพานรัษฎาภิเศกเป็นสะพานไม้เสริมเหล็กชำรุดผุพัง จึงมีการก่อสร้างใหม่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2460 เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความคงทนมากกว่าสะพานรุ่นเดียวกันที่ไม่เหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน ที่บริเวณสะพานมีเครื่องหมายไก่ขาวและครุฑหลวงประดับไว้ตรงหัวสะพาน



  อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อยู่ในอำเภอเมืองปาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมสูงและเป็นแหล่งที่ดำเนินงานตามแนวพระราชดำรัส ในการใช้พลังงานน้ำธรรมชาติมาประยุกต์การดำเนินงานอย่างสอดคล้องเป็นประโยชน์

          อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่มและอำเภอเมืองลำปาง มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 592 ตารางกิโลเมตร ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เป็นแนวแบ่งเขตระหว่างลำปางและเชียงใหม่ มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีน้ำตกและบ่อน้ำร้อนอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ฤดูที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวและมีอากาศเย็นสบาย คือ เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

         สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่ บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีสภาพการเกิดทางธรณีวิทยา มีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ จำนวน 9 บ่อ ตั้งอยู่รวมกันในบริเวณพื้นที่ที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 3 ไร่ ภายในพื้นที่มีโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และมีไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมาจากบ่อปกคลุมรอบบริเวณ น้ำพุร้อนมีอุณหภูมิเฉลี่ย 73 องศาเซลเซียส เป็นที่นิยมนำไข่ไก่และไข่นกกระทามาแช่ สำหรับไข่ไก่แช่นานประมาณ 17 นาที ไข่แดงจะแข็งมีรสชาติมันอร่อย ส่วนไข่ขาวจะเหลวคล้ายไข่เต่า

         น้ำตกแจ้ซ้อน เป็นน้ำตกที่กำเนิดจากลำน้ำแม่มอญ มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีแอ่งน้ำรองรับอยู่ตลอดสาย ไหลตกลงมาเป็นชั้นๆ มี 6 ชั้น อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 3 กิโลเมตร มีทางเดินไปสะดวกและสามารถเดินทางจากบ่อน้ำพุร้อนไปถึงน้ำตกได้, น้ำตกแม่มอญ เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลแรงจากชะง่อนผาสูงลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง น้ำจะตกลงมาเป็นชั้น ๆ สวยงาม ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ, น้ำตกแม่ขุน มีลักษณะเป็นน้ำตกสายยาว สูงประมาณ 100 เมตร ไหลลงมาบรรจบกับน้ำตกแม่มอญ ต้องเดินทางจากที่ทำการอุทยานฯ 5 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวควรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำทาง

          ถ้ำผางาม ห่างจากที่ว่าการอำเภอวังเหนือ 8 กิโลเมตร อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ฯ ที่แจ้ซ้อน 3 (ผางาม) หน่วยนี้อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 60 กิโลเมตร มีถ้ำที่สามารถเข้าไปศึกษาและท่องเที่ยวได้ เช่น ถ้ำฟ้างาม ถ้ำน้ำ ถ้ำหม้อ เป็นต้น, ชมดอกเสี้ยวบาน ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี ดอกเสี้ยวจะบานเต็มผืนป่า นักท่องเที่ยวสามารถขับรถชมดอกเสี้ยวบานได้ตามเส้นทางแจ้ซ้อน-บ้านป่าเหมี่ยง เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร, แอ่งน้ำอุ่น อยู่ติดกับบ่อน้ำพุร้อน เป็นแอ่งน้ำที่เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของน้ำพุร้อนและน้ำเย็นที่มาจากน้ำตกแจ้ซ้อน ทำให้เกิดเป็นน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิเหมาะแก่การแช่เป็นที่สุด

          ห้องอาบน้ำแร่ มีทั้งห้องอาบแร่ สำหรับ 3-4 คน ห้องรวมแบบตักอาบและบ่อสำหรับแช่อาบกลางแจ้ง น้ำแร่ที่ใช้ต่อท่อโดยตรงมาจากบ่อน้ำพุร้อน มีอุณหภูมิน้ำแร่ประมาณ 39-42 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถใช้แช่อาบได้ ประโยชน์ของการอาบน้ำแร่ คือ ช่วยบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น กลาก เกลื้อน ผื่นคัน และยังช่วยบรรเทาอาการของโรคกระดูก แต่น้ำแร่จากที่นี่ไม่สามารถใช้ดื่มได้เพราะมีแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่ามาตรฐาน

          นอกจากนี้ อุทยานฯ ได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแจ้ซ้อน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1.30 ชั่วโมง ผ่านจุดสื่อความหมาย 24 จุด ผ่านสภาพป่าและพรรณไม้ที่น่าสนใจหลายชนิด รวมถึงอาจพบสัตว์หายาก และเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแม่เปียก ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร เป็นเส้นทางวงรอบเลียบริมห้วยแม่เปียก ผ่านจุดสื่อความหมาย 19 จุด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางให้ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศน์



วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม

         วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ตั้งอยู่บนถนนสุชาดา ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง เป็นวัดเก่าแก่และสวยงาม มีอายุนับพันปี เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ พ.ศ. 1979 เป็นเวลานานถึง 32 ปี เหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า วัดพระแก้วดอนเต้า มีตำนานกล่าวว่า พระมหาเถระแห่งวัดนี้ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (ภาษาเหนือเรียกว่า หมากเต้า) และนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ต่อมาจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน

         ปูชนียสถานที่สำคัญในวัดพระแก้วดอนเต้า ได้แก่ องค์พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า, วิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับวัดนี้ นอกจากนี้ ยังมีวิหารหลวงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย วิหารพระเจ้าทองทิพย์ สร้างโดยพระนางจามเทวี อายุกว่า 1,000 ปี ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์ศิลปะสมัยเชียงแสน, มณฑป หรือพญาธาตุศิลปะแบบพม่า วิหารลายคำสุชาดาราม ฝีมือช่างเชียงแสน ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังลวดลายทองงดงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเชียงแสน และยังมี พิพิธภัณฑสถานแห่งล้านนา อันเป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัตถุแบบล้านนา เช่น สัตภัณฑ์ เครื่องถ้วยกระเบื้อง พระพุทธรูป เป็นต้น





วัดศรีชุม




  วัดศรีชุม ตั้งอยู่ที่ถนนศรีชุม-แม่วะ ตำบลศรีชุม อำเภอเมือง เป็นวัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดพม่าที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด 31 วัด สร้างใน พ.ศ. 2433 โดยคหบดีพม่าชื่อ อูโย ซึ่งติดตามชาวอังกฤษเข้ามาทำงานป่าไม้ในประเทศไทย เมื่อตนเองมีฐานะดีขึ้นจึงต้องการทำบุญโดยสร้างวัดศรีชุมขึ้นในตำบลสวนดอก จุดเด่นของวัดนี้เดิมอยู่ที่ พระวิหาร ซึ่งเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้มีศิลปะการตกแต่งแบบล้านนาและพม่า หลังคาเครื่องไม้ยอดแหลมแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้พระวิหารทั้งหลัง เมื่อตอนเช้าตรู่วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 คงเหลือเพียงไม้แกะสลักตรงซุ้มประตูทางขึ้นวิหารเท่านั้น เป็นลวดลายพรรณพฤกษาฉลุโปร่ง ปัจจุบันวัดได้รับการบูรณะขึ้นใหม่และยังมีชิ้นส่วนเครื่องประดับอาคารที่ถูกไฟไหม้ไปจัดแสดงไว้ด้านหลังวิหาร วัดศรีชุมได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2524





Trick Art Museum Thailand พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ สุดอลังการ





 "ซานโตรินี วอเตอร์ แฟนตาซี" (Santorini Water Fantasy) สวนน้ำระบบดิจิตอลแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียแล้ว ล่าสุดได้เปิดตัว ทริก อาร์ท มิวเซียม ไทยแลนด์ (Trick Art Museum Thailand) เครื่องเล่นที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจไปกับภาพออริจินอล 3D วาดโดยศิลปินเกาหลีที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ส่งตรงจากเกาะเจจู ประเทศเกาหลี สู่ซานโตรินี พาร์ค ชะอำ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างซีอีโอหนุ่มเนื้อหอม กึ้ง เฉลิมชัย มหากิจศิริ แห่ง บริษัท โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และผู้ร่วมทุนชาวเกาหลี กับซานโตรินี พาร์ค ชะอำ




    สำหรับ ทริก อาร์ต มิวเซียม ไทยแลนด์ (Trick Art Museum Thailand) พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ แห่งเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับลิขสิทธิ์ถูกต้องจากประเทศเกาหลี สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ซึ่งจะนำพาทุกท่านไปตื่นตะลึงกับภาพลวงตา 3 มิติ ซึ่งวาดโดยศิลปินเกาหลีที่มีชื่อเสียงระดับโลก ส่งตรงจากเกาะเจจู ประเทศเกาหลีใต้ ใช้เทคนิคการวาดเส้นและการลงสีแบบพิเศษ เพื่อเนรมิตชีวิตให้กับภาพวาดแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นภาพลวงตาแบบ 3 มิติ 

            ภายใน Trick Art Museum Thailand ยังมีความแปลกใหม่ให้ได้สัมผัสกันถึง 3 แบบด้วยกัน ได้แก่

            Painting Art มหัศจรรย์แห่งภาพลวงตาในรูปแบบ 3 มิติ จากปลายพู่กันของเหล่าจิตรกรชื่อดังจากประเทศเกาหลีอย่างพิถีพิถัน จนทำให้คุณรู้สึกราวกับว่าสิ่งต่าง ๆ ในภาพเสมือนมีชีวิตจริง




  Object Art คือ แนวความคิดใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ โดยประยุกต์การใช้ภาพลวงตาเข้ากับการจำลองแบบพื้นที่อยู่อาศัยในชีวิตประจำวัน อาทิ ห้องรับแขก ห้องครัว และห้องนั่งเล่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีลูกเล่นที่หลากหลาย เพื่อให้คุณได้เก็บภาพความประทับใจอย่างสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการคิดท่าทางใหม่ ๆ ในการถ่ายภาพ เช่น ภาพถ่ายในห้องที่มีขนาดแตกต่างกัน หรือภาพถ่ายกลับหัว เป็นต้น


 Digital Art คือ พื้นที่จัดแสดงงานนิทรรศการแบบโต้ตอบ โดยใช้เทคนิคทางคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เพื่อสร้างลูกเล่นให้กับงานศิลปะด้วยการจำลองสภาวะเสมือนจริง พบกับบรรยากาศจำลองใต้ท้องทะเลลึก, เสน่ห์เย้ายวนของโมนาลิซ่า, ภาพวาดที่สามารถบรรเลงเป็นบทเพลงได้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่รอให้คุณได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองกับความแปลกใหม่ที่ให้ความรู้สึกที่หลากหลายในแต่ละมุมมอง เพิ่มความตื่นตาตื่นใจให้แก่คุณด้วยตัวเอง





สถานที่ตั้ง


   ซานโตรินี พาร์ค (ชะอำ)

             ที่อยู่ : 555 หมู่ที่ 3 ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี  76120
             เวลาเปิดบริการ : วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-20.00 น., วันเสาร์ เวลา 09.00-21.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 09.00-20.00 น.
             ราคา : ค่าเข้าชม 240 บาท

            กรุงเทพฯ

            เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ได้เร็ว ๆ นี้ที่ เซ็นทรัลเวิลด์ (อยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่เปิดให้บริการ)

             ที่อยู่ : 999/9 ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

            ทั้งนี้ ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 2261 0265-8, 0 3277 2999 หรือ เฟซบุ๊ก Trick Art Museum - Thailand และ trickartmuseumthailand.com



เที่ยวอยุธยา

                                     เที่ยวอยุธยา ฮาเฮ





417 ปีแห่งการเป็นราชธานีเก่าแก่ของสยามประเทศ เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า “กรุงศรีอยุธยา” เป็นราชธานีแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันก็ยังมีร่องรอยหลักฐาน ซึ่งแสดงอัจฉริยภาพและความสามารถอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษเอาไว้ จึงไม่แปลกเลยที่นักเดินทางต่างก็อยากไปเยี่ยมชมเมืองหลวงเก่าของเราแห่งนี้ อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นโบราณสถานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวัดหรือพระราชวัง หรือแม้แต่วังและตำหนักนอกอำเภอพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นที่สำหรับเสด็จประพาส 

วิหารพระมงคลบพิตร


    วิหารพระมงคลบพิตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปคุ้มขุนแผน วิหารพระมงคลบพิตรจะอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปบุสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 9.55 เมตร และสูง 12.45 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งในประเทศไทย ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ระหว่างปี พ.ศ. 1991-2145 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากทิศตะวันออกนอกพระราชวังมาไว้ทางด้านทิศตะวันตกที่ประดิษฐานอยู่ในปัจจุบัน และโปรดเกล้าฯ ให้ก่อมณฑปสวมไว้

          ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ เมื่อปี พ.ศ. 2249 อสุนีบาตตกลงมาต้องยอดมณฑปพระมงคลบพิตรเกิดไฟไหม้ทำให้ส่วนบนขององค์พระมงคลบพิตรเสียหาย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมใหม่ แปลงหลังคายอดมณฑปเป็นมหาวิหารและต่อพระเศียรพระมงคลบพิตรในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ. 2285-2286) ในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 วิหารพระมงคลบพิตรถูกข้าศึกเผาชำรุดทรุดโทรม เครื่องบนวิหารหักลงมาต้องพระเมาฬีและพระกรขวาของพระมงคลบพิตรหัก  รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้การปฏิสังขรณ์ใหม่

          สำหรับบริเวณข้างวิหารพระมงคลบพิตรทางด้านทิศตะวันออก แต่เดิมเป็นสนามหลวง ใช้เป็นที่สำหรับสร้างพระเมรุพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และเจ้านายเช่นเดียวกับท้องสนามหลวงของกรุงเทพฯ

 วัดพระศรีสรรเพชญ์


  ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารพระมงคลบพิตร เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงเทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดารามแห่งกรุงเทพมหานคร หรือวัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัย ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างพระราชมณเฑียรเป็นที่ประทับบริเวณนี้ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายพระราชวังขึ้นไปทางเหนือ และอุทิศที่ดินเดิมให้สร้างวัดขึ้นภายในเขตพระราชวัง และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเขตพุทธาวาสขึ้น เพื่อเป็นที่สำหรับประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ จึงเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา

          ต่อมาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสถูปเจดีย์ใหญ่สององค์ เมื่อ พ.ศ. 2035 องค์แรกทางทิศตะวันออกเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระราชบิดา และองค์ที่สองคือองค์กลาง เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พระบรมเชษฐา ต่อมาในปี พ.ศ. 2042 ทรงสร้างพระวิหารขนาดใหญ่และในปี พ.ศ. 2043 ทรงหล่อพระพุทธรูปยืนสูง 8 วา (16 เมตร) หุ้มด้วยทองคำหนัก 286 ชั่ง (ประมาณ 171 กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร พระนามว่า "พระศรีสรรเพชญดาญาณ" ซึ่งภายหลังเมื่อคราวเสียกรุง พ.ศ. 2310 พม่าได้เผาลอกทองคำไปหมด

          ในสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญชิ้นส่วนชำรุดของพระประธานองค์นี้ลงมากรุงเทพฯ และบรรจุชิ้นส่วนซึ่งบูรณะไม่ได้เหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า "เจดีย์สรรเพชญดาญาณ"

          สำหรับเจดีย์องค์ที่สามถัดมาทางทิศตะวันตก สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (สมเด็จพระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เจดีย์สามองค์นี้เป็นเจดีย์แบบลังกา ระหว่างเจดีย์แต่ละองค์มีมณฑปก่อคั่นไว้ ซึ่งคงจะมีการสร้างในราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีร่องรอยการบูรณปฏิสังขรณ์หนึ่งครั้งในราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จากนั้นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการบูรณะเจดีย์แห่งนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

วัดหน้าพระเมรุ


วัดหน้าพระเมรุ ตั้งอยู่ริมคลองสระบัวด้านทิศเหนือของคูเมือง (เดิมเป็นแม่น้ำลพบุรี) ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พุทธศักราช 2046 มีชื่อเดิมว่า "วัดพระเมรุราชิการาม" ที่ตั้งของวัดนี้เดิมคงเป็นสถานที่สำหรับสร้างพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งสมัยอยุธยาตอนต้น ต่อมาจึงได้สร้างวัดขึ้น มีตำนานเล่าว่า พระองค์อินทร์ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างวัดนี้ เมื่อ พ.ศ. 2046 

          อีกทั้งวัดแห่งนี้ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ด้วยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเมื่อครั้งทำศึกกับพระเจ้าบุเรงนองได้มีการทำสัญญาสงบศึก เมื่อ พ.ศ. 2106 และได้สร้างพลับพลาที่ประทับขึ้นระหว่างวัดหน้าพระเมรุกับวัดหัสดาวาส นอกจากนี้ วัดหน้าพระเมรุยังเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ได้ถูกพม่าทำลาย และยังคงปรากฏสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระอุโบสถมีขนาดยาว 50 เมตร กว้าง 16 เมตรเป็นแบบอยุธยาตอนต้น ซึ่งมีเสาอยู่ภายใน ต่อมาสร้างขยายออกโดยเพิ่มเสารับชายคาภายนอก ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หน้าบันเป็นไม้สักแกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเหยียบเศียรนาค และมีรูปราหูสองข้างติดกับเศียรนาค หน้าต่างเจาะเป็นช่องยาวตามแนวตั้ง เสาเหลี่ยมสองแถว ๆ ละแปดต้น มีบัวหัวเสาเป็นบัวโถแบบอยุธยา ด้านบนประดับด้วยดาวเพดานเป็นงานจำหลักไม้ลงรักปิดทอง ส่วนลายแกะสลักบานประตูพระวิหารน้อย เป็นลายแกะสลักด้วยไม้สักหนา แกะสลักจากพื้นไม้ไม่มีการนำชิ้นส่วนที่อื่นมาติดต่อเป็นลายซ้อนกันหลายชั้น

          พระประธานในอุโบสถสร้างปลายสมัยอยุธยา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทรงเครื่องแบบกษัตราธิราช มีนามว่า "พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" จัดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และมีความสมบูรณ์งดงามมากสูงประมาณ 6 เมตร หน้าตักกว้างประมาณ 4.40 เมตร 

วัดพนัญเชิงวรวิหาร



 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสักทางทิศใต้ ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง ห่างจากตัวเมืองราว 5 กิโลเมตร หรือเมื่อออกจากวัดใหญ่ชัยมงคล ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปตามถนนประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเห็นวัดพนัญเชิงอยู่ทางขวามือ วัดพนัญเชิงเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งซึ่งครองเมืองอโยธยาเป็นผู้สร้างขึ้นตรงที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามวัดว่า "วัดพระเจ้าพระนางเชิง" (หรือวัดพระนางเชิง)

          พระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ตามพงศาวดารกล่าวว่า สร้างเมื่อ พ.ศ. 1867 ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา 26 ปีเดิมชื่อ "พระพุทธเจ้าพนัญเชิง" (พระเจ้าพะแนงเชิง) แต่ในรัชกาลที่ 4 เมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปองค์นี้ได้พระราชทานนามใหม่ว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก" (ชาวบ้านนิยมเรียกหลวงพ่อโต ชาวจีนนิยมเรียกว่าซำปอกง ผู้คุ้มครองการเดินทางทางทะเล) เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบอู่ทองปางมารวิชัยลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตักกว้าง 14 เมตรและสูง 19.13 เมตร ฝีมือปั้นงดงามมาก เบื้องหน้ามีตาลปัตรหรือพัดยศและพระอัครสาวกที่ทำด้วยปูนปั้นลงรักปิดทองประดิษฐานอยู่เบื้องซ้ายและขวา อาจนับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปนั่งสมัยอยุธยาตอนต้นที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียง เข้าใจว่าเมื่อสร้างพระองค์ใหม่เสร็จแล้วจึงสร้างพระวิหารหลวงขึ้นคลุมอีกทีหนึ่ง

          ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อคราวพระนครศรีอยุธยาจะเสียกรุงแก่ข้าศึกนั้น พระพุทธรูปองค์นี้มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้าง ส่วนในพระวิหาร เสาพระวิหารเขียนสีเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งสีแดงที่หัวเสามีปูนปั้นเป็นบัวกลุ่มที่มีกลีบซ้อนกันหลายชั้น ผนังทั้งสี่ด้านเจาะเป็นซุ้มเล็กประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กโดยรอบจำนวน 84,000 องค์ เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ส่วนประตูทางเข้าด้านหน้าซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นบานประตูไม้แกะสลักลอยตัวเป็นลายก้านขดยกดอกนูนออกมา เป็นลักษณะของศิลปะอยุธยาที่งดงามมากแห่งหนึ่ง

          พระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธรูป 5 องค์ ศิลปะสุโขทัย วิหารเซียน อยู่ด้านหน้าของพระวิหารหลวงเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งแต่เดิมมีภาพจิตรกรรมเขียนไว้บนผนังทั้งสี่ด้าน แต่ถูกโบกปูนทับไปแล้วเมื่อคราวบูรณปฏิสังขรณ์ ข้างในพระวิหารหลังนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบอยุธยา ศาลาการเปรียญ หลังเก่าย้ายจากริมแม่น้ำมาอยู่ด้านหลังของวัด เป็นศาลาทรงไทยสร้างด้วยไม้ หน้าบันประดับช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ บริเวณคอสอง (ขื่อ) ด้านในศาลามีภาพเขียนสีบนผ้าเป็นภาพพุทธประวัติอยู่โดยรอบ มีตัวอักษรเขียนไว้ว่าภาพเขียนสีนี้เขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2472 ภายในศาลามีธรรมาสน์อยู่ 1 หลังสลักลวดลายสวยงามเป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์

          ภายในวัดพนัญเชิงยังจะพบตึกเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ก่อสร้างเป็นตึกแบบจีนเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมากในเครื่องแต่งกายแบบจีน ชาวจีนเรียกว่า "จูแซเนี๊ย" เป็นที่เคารพนับถือของชาวจีนทั่วไป






ตะลุยไร่สตรอว์เบอร์รีแดนอีสาน อ.นาแห้ว จ.เลย


ตามหาหมู่บ้านสตรอว์เบอร์รี ณ อ.นาแห้ว จ.เลย กันจ้า ถ้าพร้อมแล้วไปตะลุยกันเลย 



 หมู่บ้านสตรอว์เบอร์รี ในพื้นที่จังหวัดเลยที่ว่านั้น ก็คือ บ้านบ่อเหมืองน้อย และบ้านห้วยน้ำผัก ตำบลแสงภา อำเภอนาแห้ว ซึ่งเป็นหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-ลาว ก่อตั้งขึ้นภายใต้การได้รับจัดสรรที่ดินทำกินจากทางหน่วยงานราชการ ภายใต้โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่รับผิดชอบโดยกองทัพภาคที่ 2 และ 3 โดยแต่ละหมู่บ้านมีประมาณ 75 ครอบครัว เดิมอาชีพหลัก คือ การปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ แต่กลับไม่สร้างความคุ้มค่าให้กับเกษตรกร เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตและระยะเวลาที่สูญเสียไป หลังจากนั้น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค สังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  (สวทช.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทำการสำรวจพื้นที่ โดยพบว่าบริเวณบ้านบ่อเหมืองน้อย และบ้านห้วยน้ำผัก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถปลูกผักและผลไม้หนาว 


 จากนั้นเมื่อปี 2539 ทาง สวทช.และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงได้มีการเริ่มสอน พร้อมจัดอบรมเกี่ยวกับวิธีการต่าง ๆ ในปลูกต้นสตรอว์เบอร์รีให้ชาวบ้าน ซึ่ง 2 ปี แรกที่เริ่มต้นก็มีผลประกอบการณ์ที่ไม่ดี เกษตรกรมีความสนใจน้อย ต่อมาเมื่อรายได้เริ่มดีมากขึ้น รวมทั้งเกษตรกรบางคนหันมาสนใจปลูกมากขึ้น จึงมีการผลักดันให้เกิดกลุ่มธุรกิจชุมชนขึ้น ด้วยการจัดตั้ง "กองทุนสตรอว์เบอร์รี" จนถึงปัจจุบันผ่านมากว่า 10 ปี มาแล้ว ทั้งสองหมู่บ้านมีไร่สตรอว์เบอร์รีรวมกันกว่า 10 ไร่ สำหรับสายพันธุ์สตรอว์เบอร์รีของที่นี่จะใช้ "พันธุ์ 329" ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตร ส่วน "ต้นไหล" หรือต้นพันธุ์ที่ใช้ปลูกนั้นจะสั่งซื้อมาจากทางจังหวัดเชียงใหม่ โดยการปลูกต้นสตรอว์เบอร์รีจะเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือนก็สามารถเก็บผลผลิตได้ 



 สำหรับใครที่สนใจเดินทางมาท่องเที่ยวหมู่บ้านไร่สตรอว์เบอร์รี เพื่อชมการทำไร่สตรอว์เบอร์รีแหล่งผลิตหนึ่งเดียวในอีสาน ก็สามารถเดินทางมาได้ในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมของทุกปี ซึ่งรสชาติเมื่อเก็บจากต้นสด ๆ ใหม่นั้น จะหวานอมเปรี้ยวอร่อยล้ำเหลือเกิน และนอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงยังมีบริการโฮมสเตย์ให้ได้สัมผัสวิถีชาวบ้าน ซึ่งจุดเด่นของที่พัก คือ เน้นบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ อากาศเย็นสบาย ท่ามกลางสวนผลไม้เมืองหนาว

          ทั้งนี้ ฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาวในเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์นั้นจะมีผักผลไม้เมืองหนาวให้รับประทาน เช่น สตรอว์เบอร์รี, มะคาเดเมีย, เห็ดหอม และบรอกโคลี ส่วนในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน จะมีพลับและอโวคาโดให้ได้ชิมอีกด้วย 
อย่างไรก็ตาม สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ บ้านบ่อเหมืองน้อย ตำบลแสงภา อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย โทรศัพท์ 08 3340 6488 และสำนักงานเกษตรอำเภอนาแห้ว โทรศัพท์ 0 4289 7031 



เขาสก ดินแดนขุนเขากลางสายน้ำ สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ





ทัศนียภาพแปลกตาของเทือกเขาหินปูนที่ผุดขึ้นกลางเวิ้งน้ำสีเขียวมรกต นับเป็นความตระการตาของภูผาอันยิ่งใหญ่ บ้างเรียงเป็นแถวหรือรวมเป็นกลุ่มก้อน บางลูกโอบล้อมสายน้ำไว้ดุจทะเลสาบมรกตกลางขุนเขา ยามเช้าตรู่จะได้สัมผัสภาพงามของสายหมอกบาง ๆ ลอยผ่านผืนน้ำคลอเคลียไปตามผาหินและผืนป่า นั่นคือคำนิยามของ เขาสก หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี


  ถ้าเราพูดถึง เขาสก หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน แล้ว หลาย ๆ คนก็คงนึกไปถึงเขาหินปูนสลับซับซ้อน ซึ่งบางทีก็เห็นจากในรูปหรือได้ยินเล่าต่อ ๆ กันมาผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่คิดว่าที่นี่จะแปลกสักเท่าไหร่กัน 


  ถ้าเราพูดถึง เขาสก หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน แล้ว หลาย ๆ คนก็คงนึกไปถึงเขาหินปูนสลับซับซ้อน ซึ่งบางทีก็เห็นจากในรูปหรือได้ยินเล่าต่อ ๆ กันมาผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่คิดว่าที่นี่จะแปลกสักเท่าไหร่กัน 





  หากคุณรักธรรมชาติ รักความสงบ รักน้ำ คุณควรจะมาที่นี่สักครั้งในชีวิต แล้วจะพบว่าเมืองไทยก็มีดินแดนที่ใกล้เคียงสวรรค์ที่สุดเหมือนกัน 





นราธิวาส ชีวิตก้าวเดินด้วยศรัทธา



1. ปลายเดือนตุลาคม ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มมาเยือนนราธิวาส

           เกลียวคลื่นสาดซัดลงบนผืนทรายที่ หาดนราทัศน์ สถานที่หย่อนใจของคนอำเภอเมืองฯ ชายชรากำลังเพียรถ่ายภาพหลานตัวน้อยวัยกำลังซน ชายชรานุ่งโสร่ง สวมเสื้อเชิ้ตขาวกับหมวกกะปิเยาะห์ อันเป็นเครื่องแต่งกายของชายมุสลิมผู้ศรัทธา ขณะเสียงหัวเราะรื่นรมย์แว่วมาจากชายชรา ผมหันไปยิ้มกับมิตรร่วมทาง คล้ายบอกเขาว่า สิ่งที่ฟังมาอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดที่เป็นไป

           ผมมาเยือนนราธิวาส 7 ครั้งแล้ว มากพอที่จะเข้าใจในบางแง่มุม ทว่าก็ยอมรับว่าตนเอง "รู้" น้อยเหลือเกินเกี่ยวกับจังหวัดปลายสุดด้ามขวานนี้ ระหว่างสายลมหนาวค่อย ๆ เดินทางจากทิศเหนือลงใต้ ผมมาเยือนศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพราะอยากเห็นบางอย่างที่ผลิดอกออกผลในฤดูกาลนี้

           ที่มุมหนึ่งในแปลงไม้ผล ท่ามกลางพรรณไม้ร่มรื่นน้อยใหญ่ ใครบางคนปลิดลองกองอันดกดื่นบนกิ่งก้าน ชิมรสหอมหวานแล้วก็ยิ้มอิ่มเอมใจ ในยามนั้นเองที่ผมนึกถึงการงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นความจริงที่สิ่งต่าง ๆ เติบโตงอกงามภายในศูนย์ฯ แห่งนี้ เกิดจากพระราชดำริคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนที่นี่เมื่อ พ.ศ. 2524 พร้อมแผนที่และกล้องถ่ายภาพคู่พระองค์

           จากผืนดินซึ่งเปรี้ยว ปลูกพืชใด ๆ ไม่ได้เลย วันนี้พื้นที่ 1,740 ไร่ อุดมด้วยพืชพรรณและผลไม้ อีกทั้งการงานหลากหลายที่หนุนช่วยให้พี่น้องมุสลิมมีชีวิตที่ดีขึ้น


   ย้อนเวลากลับไปในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2524 "ศูนย์พิกุลทอง" ได้เริ่มก่อตั้งขึ้น งานแรกที่พระองค์ทรงลงมือทำคือการ "แกล้งดิน" จากดินซึ่งเปรี้ยวจัด ทรงเร่งให้เป็นกรดจัดรุนแรงที่สุด โดยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกัน แล้วใช้น้ำล้างดินกับโรยหินปูนฝุ่น ผลที่ได้น่าชื่นใจ ไม่เพียงพื้นรกร้างกว่าพันไร่จะค่อย ๆ พลิกผันกลายเป็นดินอันอุดม ปลูกพืชอะไรก็งอกงาม ความสำเร็จนี้ยังเผื่อแผ่ไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ครอบคลุมผืนดินที่เคยว่างเปล่านับแสนไร่

           ลองกองดกดื่นในวันนี้ เป็นเพียงหนึ่งในหลายหลาก "ผล" แห่งพระวิริยะที่ดำเนินมากว่า 30 ปี ดอกผลอันหอมหวานในวันนี้


   ย้อนเวลากลับไปในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2524 "ศูนย์พิกุลทอง" ได้เริ่มก่อตั้งขึ้น งานแรกที่พระองค์ทรงลงมือทำคือการ "แกล้งดิน" จากดินซึ่งเปรี้ยวจัด ทรงเร่งให้เป็นกรดจัดรุนแรงที่สุด โดยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกัน แล้วใช้น้ำล้างดินกับโรยหินปูนฝุ่น ผลที่ได้น่าชื่นใจ ไม่เพียงพื้นรกร้างกว่าพันไร่จะค่อย ๆ พลิกผันกลายเป็นดินอันอุดม ปลูกพืชอะไรก็งอกงาม ความสำเร็จนี้ยังเผื่อแผ่ไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ครอบคลุมผืนดินที่เคยว่างเปล่านับแสนไร่

           ลองกองดกดื่นในวันนี้ เป็นเพียงหนึ่งในหลายหลาก "ผล" แห่งพระวิริยะที่ดำเนินมากว่า 30 ปี ดอกผลอันหอมหวานในวันนี้





แม่สอด


 ข้ามประตูแม่สอดสู่เมืองเมียวดี ไหว้พระสองแผ่นดิน เสน่ห์งดงาม




 มิงกะลาบา เป็นคำทักทายภาษาเมียนมาร์ หมายถึง สวัสดี เพราะกระปุกท่องเที่ยวได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับโครงการ "เปิดประตู AEC เชื่อมไมตรีสองฝั่งเมย" ตอน ไหว้พระสองแผ่นดิน เยือนถิ่นวัฒนธรรมเมืองชายแดน แคว้นพุทธภูมิ ไทย-สหภาพเมียนมาร์ 



แม่สอด ดินแดนสุดประจิมที่ริมเมย เปี่ยมเสน่ห์ หลากหลายวัฒนธรรมน่าชมเชย 


  แม่สอด เป็นอำเภอหนึ่งทางตอนกลางของจังหวัดตาก อยู่ห่างจากอำเภอเมืองตาก 86 กิโลเมตร จากประวัติความเป็นมามีหลักฐานว่า เมื่อปี พ.ศ. 2404 2405 บริเวณที่ตั้งอำเภอแม่สอดในปัจจุบัน ได้มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานทำมาหากิจอยู่ เรียกชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านพะหน่อแก" ต่อมามีคนไทยจากถิ่นอื่นพากันอพยพลงมาทำมาหากิน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ชาวกะเหรี่ยงซึ่งไม่ชอบอยู่ปะปนกับชนเผ่าอื่น ต้องพากันอพยพไปอยู่ที่อื่น หมู่บ้านแห่งนี้ได้เจริญขึ้นตามลำดับ ต่อมาทางราชการได้ย้ายด่านเก็บภาษีอากรมาอยู่ที่นี่ จนถึงปี พ.ศ. 2441 ทางราชการจึงได้ยกฐานะหมู่บ้านขึ้นเป็นอำเภอ เรียกชื่อว่า "อำเภอแม่สอด" ให้อยู่ในเขตปกครองของมณฑลนครสวรรค์ ต่อมาเมื่อมีการมีการปรับปรุงแก้ไขระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค อำเภอแม่สอดจึงได้เปลี่ยนมาขึ้นกับจังหวัดตาก


  แม่สอด เป็นอำเภอหนึ่งทางตอนกลางของจังหวัดตาก อยู่ห่างจากอำเภอเมืองตาก 86 กิโลเมตร จากประวัติความเป็นมามีหลักฐานว่า เมื่อปี พ.ศ. 2404 2405 บริเวณที่ตั้งอำเภอแม่สอดในปัจจุบัน ได้มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานทำมาหากิจอยู่ เรียกชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านพะหน่อแก" ต่อมามีคนไทยจากถิ่นอื่นพากันอพยพลงมาทำมาหากิน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ชาวกะเหรี่ยงซึ่งไม่ชอบอยู่ปะปนกับชนเผ่าอื่น ต้องพากันอพยพไปอยู่ที่อื่น หมู่บ้านแห่งนี้ได้เจริญขึ้นตามลำดับ ต่อมาทางราชการได้ย้ายด่านเก็บภาษีอากรมาอยู่ที่นี่ จนถึงปี พ.ศ. 2441 ทางราชการจึงได้ยกฐานะหมู่บ้านขึ้นเป็นอำเภอ เรียกชื่อว่า "อำเภอแม่สอด" ให้อยู่ในเขตปกครองของมณฑลนครสวรรค์ ต่อมาเมื่อมีการมีการปรับปรุงแก้ไขระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค อำเภอแม่สอดจึงได้เปลี่ยนมาขึ้นกับจังหวัดตาก



   อำเภอแม่สอด เป็นอำเภอที่มีการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหภาพเมียนมาร์ เนื่องจากเป็นอำเภอที่อยู่ติดชายแดน และมีวัดวาอารมต่าง ๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้ไปสัมผัส ซึ่งเราได้มีโอกาสไปไหว้ ศาลเจ้าพ่อพะวอ มงคลสถานศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแม่สอด ตั้งอยู่บนเนินดินเชิงเขาพะวอ ถนนสายตาก-แม่สอด เล่ากันว่า ท่านเป็นนักรบชาวกะเหรี่ยง ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงแต่งตั้งให้เป็นนายด่านที่ด่านแม่ละเมา เพื่อคอยเฝ้าป้องกันข้าศึกมิให้ข้ามเขามาถึงเมืองตากได้ และได้ต่อสู้กับพม่าที่รุกรานเข้ามาทางด่านแม่ละเมาเพื่อปกป้องเอกราชของชาติจนตัวเองต้องเสียชีวิตในสนามรบแห่งนี้ ทั้งนี้ ด้วยเหตุเพราะเจ้าพ่อพะวอท่านเป็นนักรบ จึงชอบเสียงปืน เพื่อแสดงความเคารพผู้ที่เดินทางผ่านไปมา มักจะสักการะท่านด้วยการบีบแตรรถ ยิงปืน หรือจุดประทัดถวาย 


ไหว้พระขอพรที่ วัดแม่ซอดน่าด่าน หรือวัดเงี้ยวหลวง (วัดหลวง) แต่เดิมเป็นที่พักแรมของพ่อต้าชาวไทยใหญ่ ต่อมาได้ตั้งรกรากที่นี่และรวมกันสร้างวัดนี้ขึ้นมา มีพระพุทธรูปปูนปั้นอยู่ในวิหาร 5 องค์ พระพุทธรูปหินอ่อน 2 องค์ ทองเหลือง 1 องค์ ซึ่งได้มาจากสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งในช่วงวันเข้าพรรษาของทุกปี ทางวัดจะจัดให้มีประเพณีแล้อุปั๊ดตะก่า หรือแห่ข้าวพระพุทธ ซึ่งเป็นประเพณีของชาวไทยใหญ่ที่สืบทอดกันมากว่า 100 ปี 


 และไปเยี่ยมชม วัดท่าสายโทรเลข หรือวัดห้วยม่วง บ้านริมเมย ตำบลท่าสายลวด ตั้งอยู่ติดชายแดนสหภาพเมียนมาร์ มีแม่น้ำเมยกั้นเขตแดน และมีสายโทรเลขของทางราชการมาจบสุดเขตที่หมู่บ้านนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อวัด ภายในมีมหาเจดีย์จตุราจารย์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2539 สุดงดงาม อีกทั้งยังมีพระอุโบสถหลังใหญ่ตระการตา